HomeLIFEรีวิว 6 ภาพยนตร์ LGBTQ ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็ควรดู!

รีวิว 6 ภาพยนตร์ LGBTQ ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็ควรดู!

เดือนมิถุนายนได้รับการเลือกให้เป็น Pride Month หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) เดือนที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสของสายรุ้งหลากสี เพราะว่าความรักนั้นมีหลากหลายรูปแบบ…ไม่จำกัดเพศ นี่คือ 6 ภาพยนตร์ความหลากหลายทางเพศ ตัวแทนที่จะช่วยสะท้อนแง่มุมชีวิตที่หลากหลาย ทั้งสนุกสนาน เข้มข้น เจ็บปวด และสวยงาม ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจชีวิตของชาว LGBTQ มากยิ่งขึ้น

  1. The Imitation Game : ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก 

ภาพยนตร์ดัดแปลงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ อลัน ทัวริ่ง วีรบุรุษสงครามที่เข้ามาช่วยกองทัพรัฐบาลอังกฤษถอดรหัสลับอินิกม่าของกองทัพนาซีเยอรมัน จนพลิกให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แล้วเรื่องราวกลับตาลปัตร จากวีรบุรุษกลับกลายเป็นอาชญากร เพียงเพราะว่าเขามีรสนิยมรักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามและผิดกฎหมายในประเทศอังกฤษ ณ เวลานั้น เขาจึงถูกปฏิบัติในทางที่ต่างออกไป ชีวิตของวีรบุรุษสงครามที่ควรจะได้รับความสุขสบายกลับต้องทุกข์ทนกับบทลงโทษที่ได้รับ นั่นคือ การจับฉีดฮอร์โมนให้หมดสมรรถภาพทางเพศ ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เราได้เห็นว่า “แม้รหัสลับนาซีจะซับซ้อนยากต่อการถอด แต่ก็ยังสามารถถอดแก้ได้ง่ายกว่าอคติที่อยู่ภายในใจของมนุษย์” เป็นภาพยนตร์ที่การันตีด้วยรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 7 สาขา นอกจากนี้ยังสามารถกวาดรางวัลอีกมากมายจากหลายสถาบัน

  • The Danish Girl : เดอะ เดนนิช เกิร์ล

ภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับชีวประวัติของ ไอนาร์ เวเกเนอร์ ผู้ชายคนแรกของโลกที่แปลงเพศให้กลายเป็นผู้หญิง หรือผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันที่เขียนโดย เดวิด อีเบอร์ชอฟฟ์ เป็นเรื่องราวของสามีภรรยาจิตรกรวาดภาพชาวเดนมาร์ก ที่อยู่กินด้วยกันมานานเป็นเวลา 6 ปี ไอนาร์ เวเกเนอร์ กับภรรยาของเขา เกอร์ด้า เวเกเนอร์ จุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดขึ้นในวันที่ภรรยาของเขาขายภาพไม่ได้ หมดสิ้นแรงบันดาลใจในการวาดภาพ จึงเป็นเหตุให้ภรรยาขอร้องไอนาร์มาช่วยเป็นแบบวาดให้ ด้วยการเล่นสนุกแปลงโฉมไอนาร์ให้เป็นผู้หญิงพร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ลิลี่ เอลเบ แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นคือสิ่งที่จุดประกายให้ไอนาร์ชื่นชอบการแต่งหญิง และเลยเถิดไปจนถึงการพยายามจะแต่งหญิงแบบถาวร โดยเชื่อว่า ลิลลี่ เอลเบ ซึ่งเป็นชื่อที่ทั้ง 2 คนช่วยกันตั้งเล่นๆ ตอนแต่งหญิงจะกลับกลายเป็นมีตัวตนจริงๆ จนนำไปสู่กระบวนการแปลงเพศ และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมในที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้คนข้ามเพศทุกคนบนโลกนี้ได้รับรู้ว่า ก่อนที่โลกของเราจะยอมรับคนข้ามเพศได้ขนาดนี้ ก่อนที่เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้าจนสามารถแปลงเพศได้สำเร็จ โลกของเราได้เคยผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากของการข้ามไปสู่อีกเพศหนึ่งมาก่อน

  • Carol : แครอล รักเธอสุดหัวใจ

ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนิยาย The Price of Salt ที่วางขายในปี 1952 เรื่องราวเกี่ยวกับความรักต้องห้ามในยุค 50s ที่เกิดขึ้นในมหานครนิวยอร์ค เป็นยุคที่แน่นอนว่าสังคมยังไม่เปิดกว้างและยอมรับวิถีความรักของคนเพศเดียวกัน แครอล หญิงสาวสายสังคมที่แต่งงานแล้ว และกำลังจะหย่า ได้พบกับเทเรซ พนักงานสาวประจำห้างสรรพสินค้าโดยบังเอิญในระหว่างที่เธอหาซื้อของขวัญให้กับลูกสาว ถึงแม้ว่าเทเรซนั้นจะมีแฟนหนุ่มอยู่แล้วก็ตาม นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่สังคมในยุคสมัยนั้นไม่อาจเข้าใจได้ ตัวละครมีพัฒนาการในด้านความรักแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ เหมือนให้คนดูเป็นผู้สังเกตุการณ์ และแอบเฝ้ามอง 2 สาวสานความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ ผ่านการตัดต่อและการถ่ายภาพที่สวยงาม…ไร้ที่ติ รวมไปถึงดนตรีประกอบที่ทรงพลัง จนทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวในภาพยนตร์อย่างไม่รู้ตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 5 สาขา และงานออสการ์มากถึง 6 สาขาด้วยกัน

  • Love, Simon : อีเมลลับฉบับ,ไซมอน 

ภาพยนตร์ฟีลกู้ดที่ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีอย่าง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ของ เบ็คกี้ อัลเบอร์ทัลลิ ที่เล่าถึง ไซมอน สเปียร์ เด็กหนุ่มไฮสคูลวัย 17 ปี ที่เติบโตมาในครอบครัวที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบ มีเพื่อนที่รัก มีสังคมในรั้วโรงเรียนที่ดี แต่ทว่าเขาเป็นเกย์ซึ่งเป็นความลับสุดยอดที่ยากจะบอกใคร เรื่องราวได้เล่าผ่านช่วงเวลา Coming of age ของวัยรุ่นที่กำลังเริ่มเรียนรู้ในเรื่องเพศ กับบรรยากาศความรักที่อบอวลอยู่รอบๆ ตัว ตั้งแต่เพื่อนฝูง ครอบครัว และคนรัก เป็นภาพยนตร์วัยรุ่น LGBTQ ที่งดงาม สะอาดใส และไม่ได้ยัดเยียดความรู้สึกเศร้าหม่นอะไรเลย ภาพยนตร์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ก่อนที่เราต้องการให้คนอื่นยอมรับในตัวตนของเรา เราควรจะเคารพและรักในตัวตนของเราก่อน การออกมายืดอกยอมรับตัวตนอย่างเต็มภาคภูมิมันย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราก็ยังคงเป็นคนๆ เดิม และคนรอบข้างก็อาจจะไม่ได้ใจร้ายอย่างที่เราคาดคิดไว้ เป็นภาพยนตร์ฟีลกู้ดที่ทำให้เรามีความสุข และรอยยิ้ม แม้ในบางช่วงอาจทำให้เราต้องเสียน้ำตาด้วยความประทับใจ

  • Call Me by Your Name : เรียกฉันด้วยชื่อเธอ

เรื่องราวความรักของเด็กวัยแตกเนื้อหนุ่มที่ชื่อว่า เอลิโอ เด็กหนุ่มวัย 17 ที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เขามีพ่อที่ทำงานด้านวิชาการ ซึ่งทุก ๆ หน้าร้อนเขาจะต้องเสียสละห้องนอนเขาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อให้แขกของพ่อที่มาช่วยงานวิชาการได้เข้าพัก แต่แล้วในฤดูร้อนของปีหนึ่งมีชายหนุ่มวัย 24 ปีที่ชื่อ โอลิเวอร์ ได้เดินทางมาพักที่บ้านของเอลิโอ เพื่อช่วยงานวิชาการของพ่อเขาดังเช่นทุกปี ซึ่งทุกสิ่งก็ควรจะเป็นไปเช่นเดิม คือเขาก็แค่ต้องสละห้องนอน และรอให้ผ่านพ้น 6 สัปดาห์ แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปกับโอลิเวอร์ มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อนในชีวิต เอลิโอได้แต่พร่ำเพ้อและฟุ้งซ่านคิดถึงแต่โอลิเวอร์อยู่ตลอดเวลา จนตัวเขาเองก็แน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกอื่นไปไม่ได้นอกจากความรัก ภาพยนตร์สุดโรแมนติกเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ และการเติบโตที่ต้องก้าวผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ กับงานกำกับภาพที่สุดแสนจะงดงาม และเย้ายวนชวนเพ้อฝันไปกับทิวทัศน์ในฤดูร้อนที่มีสีสันทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม  อีกทั้งยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงอีก 3 สาขา คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 

  • Moonlight : มูนไลท์

ภาพยนตร์ดราม่าที่คว้ารางวัล “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” บนเวทีออสการ์ปี 2017 มาครอบครองได้สำเร็จ เรื่องราวของคนชายขอบที่ไม่ได้รับการดูแล ชายผิวดำที่เป็นชนชั้นล่าง อีกทั้งยังเป็นเกย์ ที่ถูกนำเสนอผ่านตัวละครชื่อ ไชรอน เด็กหนุ่มผิวดำที่ต้องดิ้นรนกับชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับการถูกรังแก สังคมอันธพาล และยาเสพติด และในขณะที่ความรู้สึกส่วนลึกของเขาเองก็ยังคลุมเคลือกับเพื่อนชายคนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลาตามชื่อเรียกของเขาจากคนรอบข้างในแต่ละช่วงวัย คือ ลิตเติ้ล ไชรอน และ แบล็ค โดยใช้นักแสดง 3 คนมารับบทเดียวกันในแต่ละวัย เพื่อเล่าถึงพัฒนาการของตัวละครในแต่ช่วงอายุ เริ่มจากวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ถึงแม้ดูเผินๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีเนื้อหาและประเด็นที่ค่อนข้างหนัก แต่ตัวบทสามารถเล่าออกมาในโทนที่เรียบง่าย นุ่มนวล และไม่ได้เน้นหนักในประเด็นเรื่องสีผิว หรือเรื่องการเป็นเกย์เพียงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับวิถีการเติบโต และการเลือกทางเดินชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง งดงาม และเจ็บปวดอย่างสะเทือนอารมณ์ 

มาร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจ และส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆ ผ่านเรื่องราวในภาพยนตร์กับอิสรภาพทางความรัก…เพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอกันดีกว่าครับ

TOPTHAIBRANDhttps://www.topthaibrand.com/
Full-time writer for lifestyle blogs, love nature, eating, travelling, sleeping and writing ! always make good decisions

Leave a ReplyCancel reply

Exit mobile version