HomeWORKปรับตัวอย่างไร หากไม่อยากถูก AI แทนที่

ปรับตัวอย่างไร หากไม่อยากถูก AI แทนที่

ถึงตอนนี้เราคงจะปฏิเสธกันไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีนั้น นำมาซึ่งการเกิดบรรทัดฐานใหม่ในสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อำนวยความสะดวกสบายในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงการทำงาน เกิดเป็นความเสี่ยงที่มนุษย์อย่างเราอาจถูกแทนที่ด้วย AI​ (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถ้าหากใครไม่อยากถูกกำจัด ก็ต้องรีบปรับตัวให้ได้.. เพื่อความอยู่รอด!!! กับ 5 เรื่องที่มนุษย์เงินเดือนยุคใหม่ต้องปรับด่วน!!! หากไม่อยากถูกแทนที่ด้วย AI 

1. การเตรียมตัวเพื่อรับมือ

เป็นความคิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว เพราะทุกวันนี้ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องที่จะรู้เฉพาะคนที่มีการศึกษาสูงๆ อีกต่อไป โดยสายงานกลุ่มแรกที่จะถูก AI แย่งงาน คือ แรงงานฝ่ายผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ แม้จะฟังดูสิ้นหวัง แต่เราต้องไม่หมดหวัง ในเมื่อเราพอจะรู้แล้วว่า AI ฉลาดมากแค่ไหน และในอนาคตมันจะต้องฉลาดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าประเมินรอบด้านแล้วรู้ว่ายังไงก็สู้เทคโนโลยี AI ไม่ได้ คงต้องมองหาลู่ทางใหม่ๆ หรือเตรียมแผนสำรองเตรียมไว้บ้าง เพราะถ้าวันใดเกิดตกงานขึ้นมากะทันหันจะได้พอมีเวลาให้คิดวางแผน..จะได้ไม่จวนตัวเกินไปนัก

2. พยายามเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI

เมื่อได้ทำการประเมินความสามารถของตนเองแล้ว พบว่า ตัวเองยังสามารถเอาตัวรอดในยุคที่ AI ครองเมืองได้อยู่ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราพยายามขึ้นอีกนิด เพื่อให้ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างสงบสุข หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไหนๆ ก็คงห้ามองค์การไม่ให้เอา AI มาทำงานไม่ได้ ก็จงใช้ประโยชน์จาก AI มันซะเลย!!! ซึ่งจากผลการศึกษาของ Carl Benedikt Frey และ Michael A. Osborne นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พบว่า ข้อจำกัดของ AI ที่ยังไม่สามารถทำงานแทนคนได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ นั่นก็คือ งานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาท และการมองเห็น งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และความประณีต รวมไปจนถึงงานที่จำเป็นต้องใช้ความฉลาดทางสังคม ในเมื่อเราได้รู้แล้วว่า AI ทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรไม่ได้บ้าง ก็จงใช้ความสามารถของตนเองไปเติมเต็มจุดด้อยของมันซะเลยซิ!!! เพราะอย่างน้อยๆ เราก็ยังพอทำงานเป็นคู่หูกับ AI ได้นั่นเอง

3. การพัฒนาทักษะ และเพิ่มขีดความสามารถ

ถึง AI จะฉลาด แต่ AI ก็เกิดขึ้นมาเพราะสติปัญญาของมนุษย์ ดังนั้น ยังไม่สายที่เราจะพัฒนาตนเอง ถึงจะฉลาดได้ไม่เท่ามัน แต่ก็ยังจะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่าคนที่ไม่คิดจะปรับตัวอะไรเลย ตัวอย่างที่เราเห็นได้อย่างชัดในปีนี้ก็คือ ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทั้งผลพวงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่หลายคนต้องพักการทำงาน แต่ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ไม่ได้หยุดพัฒนา และพร้อมที่จะขึ้นมามีบทบาทแทนมนุษย์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

อีกทั้งการแข่งขันระหว่างธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะต่างก็ต้องพยุงธุรกิจตัวเองให้อยู่รอด การลดต้นทุนจึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่องค์กรจะทำ ทำให้บุคลากรที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดเสี่ยงที่จะตกงานสูง นั่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรจะพัฒนาทักษะความสามารถของตนเอง เพราะอย่างน้อยๆ จะได้เป็นการพัฒนาในสิ่งที่ตนเองชอบ หรือถนัดให้ดีขึ้นได้บ้าง เช่น การพัฒนาทักษะทางภาษาที่ 2 ภาษาที่ 3 หรือทักษะทางเทคโนโลยี เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ และอยู่ร่วมกับ AI ได้ เป็นต้น

4. พยายามฝึกทำอะไรให้ได้มากกว่าหนึ่งอย่าง

เป็นปกติขององค์กรที่ความต้องการลึกๆ อยากให้บุคลากรทำงานได้มากกว่า 1 อย่าง ซึ่งต้องไม่ลืมว่า นี่คือการทำธุรกิจที่แต่ละองค์กรต่างต้องพยายามแสวงหาผลกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งการจ้างงานก็ย่อมต้องการผู้ที่จ้างมาทำงานแล้วคุ้มค่าที่สุด นั่นแปลว่า บุคลากรที่เงินเดือนค่อนข้างสูง องค์กรอาจคาดหวังว่าควรทำอะไรได้มากกว่าหน้าที่ประจำ หรืออย่างน้อยๆ ถ้าเพิ่มมาได้อีกสักอย่างสองอย่างก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินจ้างบุคลากรมาเพิ่ม ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุน และสอดคล้องกับจุดประสงค์หลักขององค์กรในการนำ AI มาใช้ก็เพื่อเป็นการลดต้นทุนในด้านกำลังคนนั่นเอง

เนื่องจาก AI เป็นเทคโนโลยีที่ลงทุนแค่ครั้งเดียว แต่สามารถใช้งานได้หลายปี AI ไม่มีปาก..ไม่มีเสียง ในขณะที่แรงงานคนต้องจ่ายค่าจ้างทุกเดือน ทั้งประสิทธิภาพการทำงานของคนก็ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน ตามสภาวะจิตใจ และสภาพแวดล้อม ทั้งยังอาจเกิดปัญหาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่นอีก นั่นหมายความว่า AI สามารถทำงานได้คุ้มค่า และรักษามาตรฐานการทำงานได้ดีกว่าแรงงานคนนั่นเอง

5. การฝึกใช้ความคิดให้มากขึ้น

อย่างที่บอกว่าข้อได้เปรียบที่มนุษย์มีเหนือกว่า AI นั่นก็คือ การทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาท และการมองเห็น งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ถึงแม้ว่า AI จะฉลาดมาก แต่ AI ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันจะทำงานตามคำสั่งที่เราป้อนเข้าไป ดังนั้น งานอะไรก็ตามที่ยังต้องใช้อารมณ์ความรู้สึก ใช้ความละเอียดรอบคอบ ใช้สมองสร้างสรรค์อย่างซับซ้อน งานที่มีประสิทธิภาพสูงๆ หรือการแก้ไขปัญหาแปลกๆ ยังมีแค่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ มนุษย์จึงยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกนานพอสมควร เพราะ AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่วิเคราะห์ได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเหมือนกับมนุษย์ในอนาคตอันใกล้นี้

ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคการปรับตัวให้พร้อมรับมือกับ AI ที่ผมได้นำมาฝาก ซึ่งมันจะมีประโยชน์มากๆ หากทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้กัน แต่สุดท้ายแล้ว รักงานก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเองกันด้วยนะครับ ถ้าหากอยากมีสุขภาพดี เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ชาย DURO ที่จะช่วยดูแลสุขภาพของผู้ชายทุกคนให้พร้อมลุย!!! มิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพของผู้ชายโดยเฉพาะ ทั้งช่วยเสริมสมรรถภาพ และภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงไปพร้อมๆ กัน เพียงเท่านี้คนรักงานแบบคุณ..ก็สามารถมีสุขภาพที่ดี และทำงานที่รักได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า AI แล้วล่ะครับ

ข้อมูลอ้างอิง

  1. บทความเรื่อง “ไม่อยาก “ตกงาน” เพราะ AI จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”

https://www.sanook.com/campus/1402964/

TOPTHAIBRANDhttps://www.topthaibrand.com/
Full-time writer for lifestyle blogs, love nature, eating, travelling, sleeping and writing ! always make good decisions

Leave a ReplyCancel reply

Exit mobile version